เหตุผลที่ไม่ควรเร่งให้เด็กเขียน

ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

สำหรับเด็กอนุบาลที่เลื่อนชั้นขึ้นมาในระดับชั้นประถมศึกษา ความคาดหวังอย่างหนึ่งที่ครูผู้สอนอยากได้จากนักเรียน นั่นคือเรื่องของการเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับที่สูงขึ้น ยิ่งถ้าเด็กสามารถเขียนได้ไวเท่าไหร่ การเรียนรู้ในระดับประถมศึกษาก็สามารถขับเคลื่อนไปได้เร็วเท่านั้น เพราะสามารถที่จะเรียนรู้เนื้อหาได้เลย โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมหรือปรับพื้นฐานต่าง ๆ

        อย่างไรก็ดี สำหรับเด็กอนุบาลนั้นนับว่าอยู่ในช่วงของ Preschool Age คือช่วงของเด็กก่อนวัยเรียน ทำให้การเรียนในระดับปฐมวัยนั้นจะเน้นที่การเสริมประสบการณ์ให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กมีความพร้อมและมีประสบการณ์ในการใช้ทักษะต่าง ๆ อย่างเหมาะสม มากกว่าที่จะเป็นการสอนเนื้อหาวิชาการ ทำให้การจัดการเรียนรู้ในระดับปฐมวัยแตกต่างจากระดับอื่น ๆ ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นปัญหาเสมอในรอยต่อทางการศึกษาระหว่างการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาในระดับประถมศึกษา เพราะด้วยหลักสูตรที่แตกต่างกัน ทำให้รูปแบบการเรียนรู้จึงแตกต่างกันตามไปด้วย

        หลายโรงเรียนต่างคาดหวังให้เด็กต้องอ่านออกและเขียนได้ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลเพื่อให้สามารถต่อยอดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมในชั้นประถมศึกษาซึ่งบางครั้งคาดหวัง ถึงขั้นที่เด็กต้องสามารถเขียนเป็นประโยคยาว ๆ ได้ แม้ว่าสิ่งนี้จะดูเหมือนช่วยให้เด็กเข้าสู่ระบบการเรียนได้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะด้วยธรรมชาติของพัฒนาการเด็กในระดับปฐมวัย ไม่ใช่ช่วงของการเขียนที่ชัดเจนเช่นนี้

สำหรับเหตุผลของการไม่ควรเร่งเขียนในระดับการศึกษาปฐมวัยนั้น มีด้วยกันอยู่หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น

1. ทักษะในการเขียนของเด็กปฐมวัยนั้น มีความเกี่ยวพันกับพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก ความสัมพันธระหว่างมือกับตา นอกจากนี้ยังรวมถึง ความเข้าใจเรื่องภาษาในการสื่อความหมาย และการเชื่อมโยงซึ่งอยู่ในส่วนของพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งในระดับปฐมวัยนั้นพัฒนาการเหล่านี้ ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก จึงไม่ใช่ช่วงวัยที่เหมาะสมนักในการส่งเสริมการเขียนในรูปแบบเดียวกับการเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา

2. การเร่งเขียนในระดับปฐมวัยนั้น นับเป็นการลดทอนเวลาสำคัญ ที่ถือเป็นช่วงวัยทองของชีวิตที่เด็กควรจะได้เล่นและเรียนรู้ผ่านการเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย มากกว่าต้องมานั่งใช้เวลาทำแบบฝึกหัดที่เน้นการเขียนจำนวนมาก

3. การเร่งเขียนมีโอกาสทำให้เด็กคร้านการเรียนในอนาคต เพราะเนื่องจากสิ่งที่ตัวเองทำในชั้นประถมศึกษานั้น เทียบเคียงได้กับการเร่งเรียนในระดับอนุบาล จึงทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองต้องทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ  เช่น การคัดลายมือ หรือการเขียนตามข้อความบนกระดาน ซึ่งทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายได้ และทำให้รู้สึกว่าการเรียนนั้นไม่น่าสนใจ

4. นักวิชาการหลายท่านสนับสนุนว่าการส่งเสริมทักษะการเขียนโดยใช้วิธีการเดียวกับการเรียนในระดับประถมศึกษานั้น ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กปฐมวัย ซึ่งนอกจากจะขัดกับการเจริญเติบโตของเด็กแล้วการบังคับให้เด็กปฐมวัยเรียนเขียนทั้ง ๆ ที่เขายังไม่พร้อม นอกจากนี้ยังส่งผลให้เด็กมีทัศนคติที่ไม่ดีกับการเรียน และคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการเรียนไม่ดี เพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้เหมือนเพื่อน

5. งานวิจัยหลายแห่งยืนยันว่า การไม่เร่งเรียนเขียนอ่านในเด็กปฐมวัยนั้น เมื่อขึ้นชั้นประถมศึกษา ช่วงแรกเด็กอาจมีปัญหาในการปรับตัวบ้าง แต่เมื่อไปถึงในระดับหนึ่ง ทักษะการเขียนของเด็กที่เร่งและไม่เร่งเรียนนั้นจะไม่มีความแตกต่างกันหรือบางงานวิจัยก็แสดงให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยที่ไม่ได้เร่งเรียนเขียนอ่านนั้นกลับทำได้ดีกว่าในระยะยาว

ความจริงทักษะการเขียนในเด็กปฐมวัยนั้นมีการเติบโตและพัฒนาตามพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ขวบปีแรกโดยเริ่มต้นจากการวาดภาพเพื่อการสื่อความหมาย การขีดเขียนเป็นเส้นหรือเป็นสัญลักษณ์ เพื่อแทนคำศัพท์ตามความความเข้าใจของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มเป็นการออกแบบตัวอักษรของตัวเอง การเขียนเลียนแบบตัวอักษร การเขียนตัวอักษรโดยเรียงลำดับอย่างอิสระ โดยไม่ตรงหลักไวยากรณ์ และจึงค่อยเป็นการเรียนรู้ที่จะการเขียนตามแบบแผนในเวลาต่อมา

ซึ่งถ้าสังเกตตามแนวทางนี้จะเห็นว่า ท้ายที่สุดแล้วเด็กจะเขียนได้ด้วยตัวเองตามแต่ความพร้อมของแต่ละคน โดยที่ครูผู้สอนไม่จำเป็นต้องเร่งให้เด็กต้องเขียนให้ได้ตามแบบแผนโดยเร็ววัน ซึ่งครูผู้สอนควรส่งเสริมให้เขามีประสบการณ์การเขียนอย่างเป็นธรรมชาติด้วยการส่งเสริมกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ เช่น

1. ส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กเช่น การร้อยลูกปัด การปั้นดินน้ำมันหรือการทำงานฝีมือเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กให้มากขึ้นซึ่งส่งผลทำให้เด็กสามารถใช้ประโยชน์จากพัฒนาการเหล่านี้เพื่อการเขียนได้ในอนาคต

2. สนับสนุนให้นักเรียนวาดภาพบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าประทับใจในแต่ละวันหรือเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือนิทานที่ได้ฟัง

3. ครูผู้สอนควรเล่านิทานที่เหมาะสมกับวัย โดยเล่าให้เด็กฟังเป็นประจำและชี้ชวนให้เด็กสังเกตตัวอักษรหรือคำศัพท์ต่าง ๆ ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้เด็กรักการสังเกต และมีความทรงจำเกี่ยวกับตัวอักษรหรือคำศัพท์นั้น ๆ ซึ่จะเป็นผลดีในการเขียนของเด็กในอนาคต

4. ครูผู้สอนสามารถใช้แบบฝึกหัดที่เป็นการเขียนเส้นปะได้บ้าง เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ในการเขียน แต่ไม่ควรใช้เป็นหลักและไม่ควรเน้นที่ความถูกต้องและสวยงาม แต่ควรเน้นในเรื่องการมีประสบการณ์ในการเขียนที่หลากหลายมากกว่า

5. การจับดินสอของเด็กนั้นควรคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งครูผู้สอนควรเลือกใช้อุปกรณ์ทั้งดินสอและสีให้เหมาะสมกับวัย และควรส่งเสริมให้เด็กจับดินสอให้ถูกต้องตามแต่ละช่วงวัยของเขา โดยไม่จำเป็นต้องเร่งให้เด็กจับให้ถูกต้อง

6. ไม่ปิดกั้นการเขียนอิสระของเด็กและจัดให้มีกระดาษและอุปกรณ์การเขียนให้เด็กได้เขียนหรือวาดภาพตามจินตนาการเมื่อมีเวลาว่างหรือในกิจกรรมอิสระ

7. ใช้วิธีการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยโดยแนวการจัดการเรียนรู้แบบ Whole language ซึ่งหมายถึงการสอนภาษาแบบองค์รวม ที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เข้าใจภาษาทั้งการอ่านและการเขียนให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน

8. ครูผู้สอนควรเน้นที่การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีประสบการณ์ทางภาษาที่หลากหลายทั้งการอ่านและการเขียนอย่างเหมาะสม มากกว่าที่จะเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

9. การจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยนั้น ควรดำเนินการอย่างเป็นลำดับขั้นตอนตามพัฒนาการของเด็ก

การเร่งเขียนนั้น แม้ว่าสำหรับเด็กบางคนอาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก แต่ถ้าดูตามพัฒนาการโดยทั่วไปของเด็กส่วนใหญ่ การเร่งเขียนในระดับปฐมวัยก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากในความไม่พร้อมของเด็กหลาย ๆ คน ยิ่งเราเร่งเรียนเขียนอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการเบียดบังเวลาอันมีค่าที่จะใช้ในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ให้เด็กมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย การพัฒนาทักษะความคิด หรือ แม้แต่การเรียนรู้ในเรื่องที่จำเป็นกับการใช้ชีวิต ซึ่งในโลกปัจจุบันสิ่งที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญมากกว่า

        อย่างไรก็ดี ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าการเขียนนั้นไม่สำคัญ เพราะทักษะพื้นฐาน เช่น การฟัง การอ่าน และการเขียน นั้นก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในเรื่องอื่น ๆ แต่การเขียนที่เป็นไปตามวัยนั้น ย่อมดีกว่าการเขียนที่เร่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมันคือการสร้างรากฐานที่แข็งแรงไปพร้อม ๆ กับการเติบโตของเด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างเหมาะสม เมื่อก้าวเข้าสู่ระบบการเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา และแม้ว่าสิ่งนี้จะใช้เวลามากหน่อยในการปรับตัว แต่ก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่ากว่ามากในระยะยาว

เรียบเรียงโดย : นรรัชต์ ฝันเชียร

ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

สาระสำคัญของการเรียนรู้การออกแบบอัลกอริทึมในระดับชั้น ม.1

การเรียนรู้การออกแบบอัลกอริทึมในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถือเป็นการปูพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงคำนวณและการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัลนี้ ทำไมต้องเรียนรู้การออกแบบอัลกอริทึม? พัฒนากระบวนการคิด: การออกแบบอัลกอริทึมช่วยฝึกให้เด็กคิดเป็นขั้นเป็นตอน วิเคราะห์ปัญหา และหาทางแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต: ทักษะการออกแบบอัลกอริทึมเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรม และการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์: การออกแบบอัลกอริทึมมีหลายวิธี เด็กๆ สามารถคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันได้ พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน: การทำงานกลุ่มในการออกแบบอัลกอริทึมช่วยให้เด็กเรียนรู้การทำงานร่วมกันและการสื่อสาร อัลกอริทึมคืออะไร? อัลกอริทึมก็เหมือนกับสูตรอาหารหรือคู่มือการประกอบเฟอร์นิเจอร์ คือชุดคำสั่งที่ระบุขั้นตอนในการทำงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น อัลกอริทึมในการต้มไข่ต้มก็คือ 1. นำไข่ใส่หม้อ...

สาระสำคัญของการฝึกฝนการแก้ปัญหาอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพในระดับชั้น ม.1

การฝึกฝนให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีทักษะการแก้ปัญหาอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้นักเรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ และการทำงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมต้องฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหา? พัฒนากระบวนการคิด: ช่วยให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ปัญหา แยกแยะประเด็นสำคัญ และวางแผนแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพิ่มความมั่นใจ: เมื่อนักเรียนสามารถแก้ปัญหาได้เอง จะส่งผลให้มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต: ทักษะการแก้ปัญหาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น และการทำงานในสายอาชีพต่างๆ ส่งเสริมการเรียนรู้แบบอัตโนมัติ: การแก้ปัญหาจะทำให้นักเรียนค้นพบวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น วิธีการฝึกฝน จัดกิจกรรมที่ท้าทาย: ให้โจทย์ปัญหาที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สอนวิธีการคิดแบบมีระบบ: แนะนำขั้นตอนการแก้ปัญหา เช่น การกำหนดปัญหา การหาข้อมูล...

สาระสำคัญของการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดอย่างมีตรรกะในระดับชั้น ม.1

การฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดอย่างมีตรรกะในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นับเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียน ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อน วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และการทำงานในอนาคต เหตุผลที่ต้องฝึกฝนทักษะเหล่านี้ในระดับชั้น ม.1 พัฒนากระบวนการคิด: ช่วยให้นักเรียนพัฒนากระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีขั้นตอนในการแก้ปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้: ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ดีขึ้น เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้ง เตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาต่อ: เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน พัฒนาทักษะการสื่อสาร: ช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารความคิดเห็นของตนเองได้อย่างชัดเจนและมีเหตุผล เสริมสร้างความมั่นใจ: การฝึกฝนทำให้เกิดความมั่นใจในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ วิธีการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดอย่างมีตรรกะ ตั้งคำถาม: สอนให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์ หาเหตุผลสนับสนุน: ฝึกให้นักเรียนหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดเห็นของตนเอง เปรียบเทียบและหาความแตกต่าง:...

สาระสำคัญของการเรียนรู้แนวคิดพื้นฐานของการคิดเชิงคำนวณ ระดับชั้น ม.1

การเรียนรู้แนวคิดพื้นฐานของการคิดเชิงคำนวณ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นับเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกวงการ สาระสำคัญที่นักเรียนจะได้เรียนรู้มีดังนี้ 1. เข้าใจกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ: การวิเคราะห์ปัญหา: เรียนรู้ที่จะแยกแยะปัญหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อให้เข้าใจปัญหาได้อย่างชัดเจน การออกแบบอัลกอริทึม: ฝึกคิดขั้นตอนในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การเขียนรหัสลำลอง: ฝึกเขียนคำอธิบายขั้นตอนการแก้ปัญหาเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ การทดสอบและปรับปรุง: เรียนรู้ที่จะตรวจสอบผลลัพธ์และแก้ไขข้อผิดพลาด 2. พัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ: การใช้เหตุผล: ฝึกใช้เหตุผลในการตัดสินใจและเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม การเปรียบเทียบ: ฝึกเปรียบเทียบข้อมูลและหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ การสรุป: ฝึกสรุปผลจากข้อมูลที่ได้ 3. สร้างสรรค์และนวัตกรรม: การคิดนอกกรอบ: ฝึกคิดหาแนวทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่แตกต่าง การสร้างสรรค์ผลงาน:...

About ครูออฟ 1553 Articles
https://www.kruaof.com