3.1.3 การใช้สูตรพื้นฐานการคำนวณ    

ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

การใช้สูตรพื้นฐานการคำนวณในโปรแกรมตารางคำนวณ Microsoft Excel 2016 เช่น + (บวก), – (ลบ), * (คูณ), / (หาร) และ ^ (ยกกำลัง)  จะต้องใส่เครื่องหมาย = (เท่ากับ) นำหน้าสูตรก่อน แล้วตามด้วยตำแหน่งเซลล์ หรือตัวเลขที่เป็นเหมือนตัวแปรที่จะนำค่าไปคำนวณ  พื้นฐานการคำนวณโปรแกรม Microsoft Excel 2016 แบ่งชนิดของสูตรออกเป็น 4 ชนิด คือ

  1. ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operator)
  2. ตัวดำเนินการอ้างอิง (Reference Operator)
  3. สูตรในการเปรียบเทียบ (Comparison Formula)
  4. ตัวดำเนินการข้อความ (Text Operation)

เมื่อข้อมูลมีมากขึ้น อาจจะต้องใช้เวลาในการหาคำตอบที่นานขึ้น หรืออาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการหาคำตอบ เช่น เครื่องคิดเลข ซึ่ง โปรแกรมตารางคำนวณ Microsoft Excel 2016 มีความสามารถในการช่วยหาคำตอบ จากข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว

การใช้สูตรพื้นฐานการคำนวณในโปรแกรมตารางคำนวณ Microsoft Excel 2016 จะต้องใส่เครื่องหมาย = (เท่ากับ) นำหน้าสูตรก่อน แล้วตามด้วยตำแหน่งเซลล์ หรือตัวเลขที่เป็นเหมือนตัวแปรที่จะนำค่าไปคำนวณ  พื้นฐานการคำนวณโปรแกรม Microsoft Excel 2016 แบ่งชนิดของสูตรออกเป็น 4 ชนิด ครอบคลุม 1) การคำนวณโดยตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ 2) การคำนวณโดยตัวดำเนินการอ้างอิง 3) การคำนวณโดยสูตรในการเปรียบเทียบ และ 4) การคำนวณโดยตัวดำเนินการข้อความ

1. ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operator)

คือ “เครื่องหมายคำนวณ” เช่น บวก, ลบ, คูณ, หาร และยกกำลัง ซึ่งตัวแปรที่ใช้กับตัดำเนินการนี้จะต้องเป็นข้อมูลตัวเลขเท่านั้น และผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นตัวเลขเช่นเดียวกัน

2. ตัวดำเนินการอ้างอิง (Reference Operator)

ใช้ในการอ้างอิงตำแหน่งเซลล์บนเวิร์กชีต โดยใช้เครื่องหมาย , (comma), : (colon)  หรือเว้นวรรค (space) ในการอ้างอิงถึงกลุ่มเซลล์บนเวิร์กชีต

3. สูตรในการเปรียบเทียบ (Comparison Formula)

ใช้เปรียบเทียบข้อมูล เช่น = (เท่ากับ), > (มากกว่า) เป็นต้น โดยแปรผลในเชิงตรรกะคือ TRUE (จริง) หรือ FALSE (เท็จ) เช่น 15>20 คือ 15 มากกว่า 20 หรือไม่ ซึ่งก็คือไม่ใช่ก็เป็น เท็จ (FALSE)

4. ตัวดำเนินการข้อความ (Text Operation)

ใช้สำหรับเชื่อมข้อความ  อาจจะเป็นข้อความแบบค่าคงที่  หรือข้อความที่เก็บอยู่ในเซลล์มาแสดงร่วมกันได้ หรือจะใช้เชื่อมเนื้อหาหลายๆ เซลล์ให้แสดงที่เซลล์ใหม่ได้

สูตรการคำนวณใน Excel จะคำนวณจากซ้ายไปขวาเสมอ  แต่เครื่องหมายคำนวณทางคณิตศาสตร์ต่างๆ จะมีลำดับความสำคัญต่างกัน โดยจะประมวลผลจากตัวดำเนินการระดับสูงไปยังระดับรองลงมา  หรือตามลำดับการคำนวณภายในสูตร เช่น A5+B5*C5-10 จะกระโดดข้ามเครื่องหมาย + ไปทำที่เครื่องหมาย * (คูณ) ก่อนตามลำดับความสำคัญแล้วจึงย้อนกลับไปคำนวณยังเครื่องหมายที่เหลือ และถ้าในสูตรคำนวณเดียวกันมีตัวดำเนินการที่มีระดับความสำคัญเท่าๆกัน เช่น + หรือ – ก็จะคำนวณจากซ้ายไปขวาจนครบตามปกติ

หากใช้สูตรผิด อาจจะมีข้อความแปลกๆ ปรากฏขึ้น นั่นคือ การ Error

ความหมายและแนวทางแก้ไขรูปแบบของ Error ในโปรแกรม Microsoft Excel 2016

Error แนวทางการแก้ไข
#VALUE!มี 2 กรณีหลัก ๆ คือ 1.ใส่ข้อมูลผิดประเภทลงไป เช่น ใส่ Text ลงไปใน Argument ที่จะต้องเป็น Number  เช่น =LEFT(“inwexcel”,“abc”) 2.ใส่ข้อมูลเป็น Range ลงไปใน Argument ที่ควรจะใส่ Cell เดียว เช่น =LEN(A1:C1) ซึ่งถ้าต้องการจะทำแบบนี้ จะต้องใช้สูตรแบบที่ Advance กว่าปกติที่เรียกว่า Array Formula แทน
#NAME?เกิดขึ้นเพราะระบุชื่อ Function หรือ Defined Name ที่ไม่มีอยู่จริง
#NUM!ตัวเลขที่ใช้มีปัญหา เช่น มีค่าน้อยหรือมากเกินไป
#DIV/0เกิดจากการหารด้วยช่องที่มีค่าเป็น 0 หรือเป็น Blank
#REFใส่ Cell Reference ที่ไม่มีตัวตน มักเกิดจากการไปลบCell/Row/Column หลังจากใส่สูตรไปแล้ว
#N/Aหากข้อมูลไม่เจอ มักเกิดกับ Function พวก Lookup ข้อมูลต่าง ๆ
#NULL!เกิดจาการใช้ Reference Operator ที่เป็นแบบ Intersect (หาส่วนที่ซ้อนทับกัน) โดยใช้เครื่องหมาย ช่องว่าง แต่ปรากฏว่าไม่มี Range ที่ Intersect กันเลย บางที Error นี้อาจเกิดจากการไม่ได้ตั้งใจพิมพ์เครื่องหมาย space ลงไปก็ได้
########จริง ๆ ไม่ใช่ Error เพียงแต่ข้อมูลมีความยาวเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นใน 1 ช่องได้ เจะต้องยืดความกว้างคอลัมน์ให้กว้างขึ้น หรือเปลี่ยนรูปแบบ Number Format ให้ตัวเลขสั้นลง

โปรแกรมตารางคำนวณ Microsoft Excel 2016 มีการใช้สูตรที่ช่วยในเรื่องของการคำนวณที่หลากหลาย ทำให้ลดระยะเวลาในการคิดประมวลผลเมื่อมีข้อมูลที่มาก ๆ ช่วยให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำในการนำผลการคำนวณไปใช้ในการวิเคราะห์ต่อไป

คลิกเรื่องต่อไป
ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

หลักการนำเสนอข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์

การนำเสนอข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยหลักการและเทคนิคที่เหมาะสม เนื่องจากสื่อสังคมออนไลน์มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากสื่ออื่นๆ หลักการสำคัญที่ควรคำนึงถึงมีดังนี้ 1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย: วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย: ทำความเข้าใจลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย เช่น อายุ เพศ ความสนใจ พฤติกรรม และความต้องการ เพื่อปรับเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอให้เหมาะสม เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม: เลือกใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่กลุ่มเป้าหมายใช้งานเป็นหลัก เช่น Facebook, Instagram, Twitter, YouTube, TikTok...

แนวทางการป้องกันการทุจริต

แนวทางการป้องกันการทุจริตเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ โดยมีแนวทางที่สำคัญดังนี้: 1. การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม: ตั้งแต่เยาว์วัย: ปลูกฝังคุณธรรมและความซื่อสัตย์ในเด็กและเยาวชน ผ่านการอบรมสั่งสอนในครอบครัวและโรงเรียน สร้างจิตสำนึกที่ดีในการแยกแยะถูกผิด และไม่ยอมรับการทุจริตในทุกรูปแบบ ในสังคม: ส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้อง เช่น ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ สร้างแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพอย่างสุจริต 2. การสร้างจิตสำนึกที่ดี: การให้ความรู้: ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการทุจริตต่อสังคมและประเทศชาติ สร้างความตระหนักรู้ถึงภัยของการทุจริต และไม่ยอมทนต่อการทุจริต การมีส่วนร่วม: ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริต 3. การส่งเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบได้: การเปิดเผยข้อมูล: เปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้ประชาชนได้รับทราบ สร้างระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยี: นำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจสอบและป้องกันการทุจริต เช่น ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการเปิดเผยข้อมูลและสร้างความโปร่งใส 4. การมีความละอายและไม่ทนต่อการทุจริต: การสร้างวัฒนธรรม: สร้างวัฒนธรรมที่ไม่ยอมรับการทุจริตในทุกรูปแบบ ส่งเสริมให้ประชาชนกล้าที่จะเปิดเผยและต่อต้านการทุจริต การลงโทษ: บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำความผิดในการทุจริต สร้างความตระหนักถึงผลของการกระทำที่ไม่สุจริต 5. การสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต: การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน: ส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริต การสร้างความเข้มแข็งขององค์กรตรวจสอบ: สนับสนุนและส่งเสริมให้องค์กรตรวจสอบการทุจริตมีอิสระและเข้มแข็ง ให้องค์กรตรวจสอบมีอำนาจในการตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำความผิด แนวทางการป้องกันการทุจริตเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม...

ตัวอย่างสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต

การทุจริตมีหลายรูปแบบและเกิดขึ้นได้ในหลากหลายสถานการณ์ ตัวอย่างสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีดังนี้: 1. การทุจริตในชีวิตประจำวัน: การลอกการบ้าน/ข้อสอบ: การคัดลอกงานของเพื่อนมาเป็นของตนเอง หรือการแอบดูคำตอบในขณะสอบ การเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง: การหยิบฉวยสิ่งของของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการขโมยสิ่งของ การโกหก/ให้ข้อมูลเท็จ: การพูดจาไม่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อหวังผลประโยชน์ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด การทิ้งขยะไม่เป็นที่: การกระทำนี้ถือเป็นการทุจริตต่อส่วนรวม ทำให้เกิดความสกปรก และสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น 2. การทุจริตในโรงเรียน: การซื้อขายตำแหน่ง/เกรด: การจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง หรือเพื่อให้ได้เกรดที่ดีขึ้น การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง: การเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ขายบางราย หรือการรับสินบนในการจัดซื้อจัดจ้าง การใช้ทรัพยากรของโรงเรียนในทางที่ผิด: การนำสิ่งของของโรงเรียนไปใช้ส่วนตัว 3. การทุจริตในสังคม: การให้สินบนเจ้าหน้าที่: การจ่ายเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือเพื่อให้ได้รับความสะดวก การทุจริตในการเลือกตั้ง: การซื้อเสียง หรือการใช้กลโกงในการเลือกตั้ง การทุจริตในโครงการภาครัฐ: การยักยอกเงินงบประมาณ หรือการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง 4. การทุจริตในโลกออนไลน์: การหลอกลวงออนไลน์: การหลอกลวงให้ผู้อื่นโอนเงิน หรือให้ข้อมูลส่วนตัว การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ: การสร้างและเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เพื่อหวังผลประโยชน์ หรือเพื่อสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น การละเมิดลิขสิทธิ์: การคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต สถานการณ์เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของการทุจริตที่เกิดขึ้นในสังคม...

About ครูออฟ 1663 Articles
https://www.kruaof.com