การทำงานของโปรแกรมแบบเลือกทำตามเงื่อนไข (Decision)

ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

การทำงานของโปรแกรมแบบเลือกทำตามเงื่อนไข หรือที่เรียกว่า Decision Making เป็นกระบวนการที่ใช้ในการเปรียบเทียบหรือตรวจสอบข้อมูลเพื่อตัดสินใจว่าควรดำเนินการใดต่อไป การทำงานนี้มีความสำคัญในทุกโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพราะช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

หลักการทำงานของการเปรียบเทียบข้อมูล

การเปรียบเทียบข้อมูลในโปรแกรมเป็นการตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ โดยใช้ คำสั่งเปรียบเทียบ (Comparison Operators) เช่น เท่ากับ (==), ไม่เท่ากับ (!=), มากกว่า (>), น้อยกว่า (<) เป็นต้น ผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบนี้จะเป็น จริง (True) หรือ เท็จ (False) ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจในการทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนด

การใช้คำสั่ง if-else

หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของการทำงานแบบเลือกทำตามเงื่อนไขคือคำสั่ง if-else คำสั่งนี้ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขและดำเนินการตามที่กำหนดเมื่อเงื่อนไขนั้นเป็นจริง และทำอย่างอื่นเมื่อเงื่อนไขนั้นเป็นเท็จ ตัวอย่างเช่น:

if condition:
    # ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
else:
    # ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ

การใช้คำสั่ง elif

นอกจากคำสั่ง if-else แล้ว เรายังสามารถใช้คำสั่ง elif ซึ่งย่อมาจาก else if เพื่อเพิ่มเงื่อนไขเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น:

if condition1:
    # ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขที่ 1 เป็นจริง
elif condition2:
    # ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขที่ 2 เป็นจริง
else:
    # ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขทั้งหมดเป็นเท็จ

ตัวอย่างการใช้งานการเปรียบเทียบข้อมูลในโปรแกรม

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เรามาดูตัวอย่างการใช้งานการเปรียบเทียบข้อมูลในโปรแกรมจริง ตัวอย่างเช่น การสร้างโปรแกรมตรวจสอบอายุเพื่อกำหนดสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรม

age = int(input("กรุณาใส่อายุของคุณ: "))

if age >= 18:
    print("คุณมีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม")
else:
    print("คุณไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม")

ในตัวอย่างนี้ โปรแกรมจะตรวจสอบว่าอายุที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามานั้นมากกว่าหรือเท่ากับ 18 ปีหรือไม่ ถ้าเป็นจริง โปรแกรมจะแสดงข้อความว่า “คุณมีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม” แต่ถ้าเป็นเท็จ โปรแกรมจะแสดงข้อความว่า “คุณไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม”

การใช้คำสั่งแบบหลายเงื่อนไข (Nested Conditions)

บางครั้ง การตัดสินใจในโปรแกรมอาจมีความซับซ้อนและต้องการการตรวจสอบเงื่อนไขหลายชั้น ในกรณีนี้ เราสามารถใช้คำสั่งแบบหลายเงื่อนไข (Nested Conditions) ได้ ตัวอย่างเช่น:

score = int(input("กรุณาใส่คะแนนของคุณ: "))

if score >= 80:
    if score >= 90:
        print("เกรดของคุณคือ A")
    else:
        print("เกรดของคุณคือ B")
else:
    if score >= 70:
        print("เกรดของคุณคือ C")
    else:
        print("คุณต้องพยายามอีกครั้ง")

ในตัวอย่างนี้ โปรแกรมจะตรวจสอบคะแนนที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาและแสดงผลลัพธ์ตามเงื่อนไขที่กำหนด

การใช้คำสั่งแบบหลายทางเลือก (Switch-Case)

นอกจากการใช้คำสั่ง if-else แล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งในการทำงานแบบเลือกทำตามเงื่อนไขคือการใช้คำสั่ง switch-case แม้ว่าภาษา Python จะไม่สนับสนุน switch-case โดยตรง แต่เราสามารถใช้ dictionary เพื่อจำลองการทำงานของ switch-case ได้ ตัวอย่างเช่น:

def switch_case(option):
    switcher = {
        1: "คุณเลือกตัวเลือกที่ 1",
        2: "คุณเลือกตัวเลือกที่ 2",
        3: "คุณเลือกตัวเลือกที่ 3"
    }
    return switcher.get(option, "ตัวเลือกไม่ถูกต้อง")

option = int(input("กรุณาเลือกตัวเลือก (1-3): "))
print(switch_case(option))

ในตัวอย่างนี้ ฟังก์ชั่น switch_case จะรับค่า option และคืนค่าตามตัวเลือกที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามา

บทสรุป

การทำงานของโปรแกรมแบบเลือกทำตามเงื่อนไขเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเขียนโปรแกรม ทำให้โปรแกรมสามารถตัดสินใจและดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การใช้คำสั่ง if-else, elif, การใช้คำสั่งแบบหลายเงื่อนไข (Nested Conditions) และการจำลองการทำงานของ switch-case เป็นเทคนิคที่ช่วยให้การเขียนโปรแกรมทำได้ง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นในการจัดการเงื่อนไขต่างๆ

ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน :

หน่วยที่ 1 การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา ป.6

  ว 4.2 ป.6/1 ตอนที่ 1.1 การออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหา  1.1.1 การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน 1.1.2 การใช้เหตุผลเชิงตรรกะ 1.1.3 แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเงื่อนไขคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเงื่อนไข 1.1.4 กระบวนการทำงานที่มีการทำงานแบบวนซ้ำหรือเงื่อนไข 1.1.5 ตัวอย่างปัญหา สาระสำคัญ การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา เป็นทักษะสำคัญที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ควรมี เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ...

หน่วยที่ 2 การเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหา ป.6

ขั้นตอนการศึกษาประจำหน่วยที่ 2 การเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหา ภาคเรียนที่ 1 ใช้เวลาเรียน 14 ชั่วโมง ขั้นตอนที่ 1 ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหารายละเอียดในเอกสารประกอบการสอน วิชาวิทยาการคำนวณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรือ จากเว็บไซต์ www.kruaof.com ขั้นตอนที่ 2 ทำแบบทดสอบหลังเรียน ตามตัวชี้วัด นักเรียนต้องทำแบบทดสอบผ่านทุกตัว ตัวชี้วัด ตอนที่ 2.1 การออกแบบโปรแกรม 2.1.1 การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขียนเป็นข้อความ 2.1.2 การออกแบบโปรแกรมด้วยผังงาน ตอนที่...

การต่อต้านการทุจริตในฐานะพลเมือง: พลังเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้

การต่อต้านการทุจริต ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยนะทุกคน แม้ว่าเราจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่เราก็มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีได้เช่นกัน การเป็นพลเมืองที่ดีหมายถึงการรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องและช่วยกันต่อต้านสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ทำไมเราต้องต่อต้านการทุจริต? เพื่อให้สังคมน่าอยู่: การทุจริตทำให้สังคมไม่เป็นธรรม คนดีเสียเปรียบ คนไม่ดีได้เปรียบ การต่อต้านการทุจริตจะช่วยให้สังคมของเรามีความยุติธรรมมากขึ้น เพื่ออนาคตของประเทศ: การทุจริตจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย พัฒนาช้าลง การต่อต้านการทุจริตจะช่วยให้ประเทศของเราเจริญก้าวหน้า เพื่อตัวเราเอง: การเป็นคนดี ไม่ร่วมมือกับการกระทำที่ผิด จะทำให้เรามีความสุขใจและเป็นที่ยอมรับของสังคม เราจะต่อต้านการทุจริตได้อย่างไรบ้าง? แจ้งเบาะแส: ถ้าเราเห็นใครทำผิดกฎหมาย หรือทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราสามารถแจ้งให้ผู้ใหญ่ที่เราไว้วางใจทราบ หรือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ไม่ร่วมมือกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย:...

การสร้างสังคมที่ดี: ปลูกฝังเด็กให้เป็นพลเมืองดี

การสร้างสังคมที่ดีเริ่มต้นจากการปลูกฝังให้เด็กๆ มีจิตสำนึกที่ดีและเข้าใจถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมค่ะ การสอนให้เด็กๆ เรียนรู้หลักการสำคัญต่างๆ เช่น การเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จะเป็นการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและสามารถสร้างสรรค์สังคมที่ดีได้ในอนาคต หลักการสำคัญในการสร้างสังคมที่ดีที่เด็กควรเรียนรู้ การเคารพซึ่งกันและกัน: หมายถึงการให้เกียรติผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครู ผู้ใหญ่ หรือคนในสังคม โดยไม่แบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือฐานะทางสังคม การเคารพผู้อื่นจะช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างสรรค์ในสังคม การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข:...

About ครูออฟ 1546 Articles
https://www.kruaof.com